
วันพุธที่ 9 กรกฎาคม 2568 เวลา 14.00 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนายจุมพล ขุนอ่อน รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 23/2568 โดยมีวาระสำคัญดังนี้
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้พิจารณากรณีสถานกักกันนครปฐมนำผู้ถูกกักกันไปควบคุมปะปนกับผู้ต้องขังของเรือนจำกลางนครปฐม ทำให้ผู้ถูกกักกันไม่ได้รับการพัฒนาพฤตินิสัย การศึกษา และฝึกหัดอาชีพโดยที่การกักกันเป็นวิธีการควบคุมตัวบุคคลที่กระทำความผิดติดเป็นนิสัยภายหลังจากรับโทษทางอาญาแล้ว ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการกักกันตามประมวลกฎหมายอาญา การกักกันจึงไม่ใช่โทษและมีความแตกต่างกับการลงโทษทางอาญา เมื่อวัตถุประสงค์ของการกักกันและการลงโทษมีความแตกต่างกัน สถานกักกันจึงควรมีความเหมาะสมในการเอื้ออำนวยสำหรับปรับเปลี่ยนพฤตินิสัยของผู้ถูกกักกันไม่ให้หวนกลับไปกระทำความผิดซ้ำอีก หากยังคงใช้สถานที่และวิธีการปฏิบัติที่ไม่แตกต่างจากการจำคุกก็ย่อมเสมือนกับการลงโทษบุคคลซ้ำจากการกระทำความผิดครั้งเดียว และไม่สอดคล้องกับหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลเป็นผู้บริสุทธิ์ อันเป็นการขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น กสม. เห็นว่า การดำเนินวิธีการกักกันอาจไม่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน จึงมีมติให้ศึกษาและจัดทำข้อเสนอแนะ
กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริง ความเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิ หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน เอกสารทางวิชาการ หลักกฎหมาย มาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา และระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ถูกกักกัน พ.ศ. 2566 กำหนดความหมายของการกักกันและวิธีการฟื้นฟูผู้ถูกกักกันว่า การกักกันเป็นวิธีการเพื่อความปลอดภัยสำหรับควบคุมผู้กระทำความผิดติดนิสัยไว้ภายในเขตกำหนดเพื่อป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ พัฒนาพฤตินิสัย และฝึกหัดอาชีพ โดยผู้ถูกกักกันต้องได้รับการศึกษาตามอัธยาศัย มีการอบรมด้านคุณธรรม จริยธรรม กิจกรรมสันทนาการ และได้รับการฝึกวิชาตามความถนัดและความต้องการของตลาดแรงงาน การกักกันจึงเป็นวิธีการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมด้วยการนำตัวบุคคลที่พ้นโทษแล้วไปควบคุมในสถานที่ที่กำหนดซึ่งไม่ใช่เรือนจำ และไม่ให้ปฏิบัติเช่นนักโทษเด็ดขาดตามกฎหมาย ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาพฤติกรรมบุคคลดังกล่าวก่อนที่จะปล่อยตัวกลับสู่สังคม
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีสถานกักกันตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการกักกันตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2510 เพียงแห่งเดียว คือ สถานกักกันนครปฐม ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกับเรือนจำกลางนครปฐม ส่งผลให้ขาดความเหมาะสมในการฝึกอาชีพและพัฒนาพฤตินิสัยของผู้ถูกกักกัน อีกทั้งยังไม่มีพื้นที่แยกชายหญิงอย่างชัดเจน จึงจำเป็นต้องควบคุมตัวผู้ถูกกักกันหญิงรวมกับผู้ต้องขังหญิงของเรือนจำกลางนครปฐม โดยใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวัน รวมทั้งการประกอบอาหาร และการรักษาพยาบาล ร่วมกับเรือนจำ และเมื่อสถานกักกันนครปฐมอยู่ภายในเรือนจำกลางนครปฐม กฎเกณฑ์และระเบียบของเรือนจำ เช่น การเยี่ยมญาติ การเข้าออกเรือนนอน ก็ถูกนำมาใช้บังคับกับผู้ถูกกักกันเช่นเดียวกันด้วย อีกทั้งอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ของสถานกักกันนครปฐมที่ได้รับการจัดสรรจำนวน 15 คน ต้องไปปฏิบัติหน้าที่ ณ ส่วนราชการอื่น โดยมีเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ในสถานกักกันนครปฐมเพียง 3 คน รวมผู้อำนวยการ เป็นเหตุให้ต้องใช้เจ้าหน้าที่เรือนจำกลางนครปฐมในการช่วยเหลือสนับสนุนดูแลผู้ถูกกักกันด้วย การดำเนินการดังกล่าวของกรมราชทัณฑ์จึงมีลักษณะเป็นการกำหนดกฎเกณฑ์และการปฏิบัติต่อผู้ถูกกักกันเสมือนเป็นนักโทษประเภทหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ว่าสถานที่สำหรับควบคุมผู้ต้องขังกับผู้ถูกกักกัน รวมถึงวิธีปฏิบัติต้องมีความแตกต่างกัน
ในภายหลัง แม้กระทรวงยุติธรรมจะมีประกาศ ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2563 กำหนดอาณาเขตเรือนจำชั่วคราวทัพหลวง ที่ตำบลทัพหลวง จังหวัดนครปฐม สำหรับดำเนินการอบรม ฝึกวิชาชีพแก่ผู้ต้องขัง และมีแนวคิดที่จะแยกระหว่างสถานกักกันและเรือนจำออกจากกัน จึงได้กำหนดพื้นที่ดังกล่าวขึ้นมา แต่ยังมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ และการบริหารจัดการทรัพยากรของกรมราชทัณฑ์จึงมุ่งที่ผู้ต้องขังเป็นหลัก ทำให้การแยกสถานกักกันนครปฐมออกจากเรือนจำกลางนครปฐมยังไม่อาจดำเนินการได้
ต่อมากระทรวงยุติธรรม ได้มีประกาศเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2567 กำหนดสถานกักกันกลางกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นศูนย์กลางในการคุมขังผู้ถูกกักกันตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการกักกันตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2510 และผู้พ้นโทษหรือผู้ถูกเฝ้าระวังตามกฎหมายว่าด้วยมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง แม้ยังไม่ได้กำหนดระยะเวลาและขั้นตอนการย้ายผู้ถูกกักกันมายังสถานกักกันกลางกรุงเทพมหานคร แต่ถือได้ว่าเป็นการเริ่มกระบวนการปฏิบัติกับผู้ถูกกักกันเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนและหลักกฎหมายว่าด้วยการกักกัน
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการกักกันตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2510 ซึ่งได้บัญญัติขึ้นใช้บังคับเป็นระยะเวลากว่า 50 ปี โดยไม่มีการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงนั้น เห็นว่า อาจไม่เท่าทันต่อสถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องสิทธิของผู้ถูกกักกันเมื่อเทียบกับผู้ต้องขังตามคำพิพากษาและผู้ถูกคุมขังภายหลังพ้นโทษ ซึ่งสองกลุ่มหลังหากประพฤติตนดี ปรับเปลี่ยนพฤตินิสัย จะอยู่ในเงื่อนไขที่จะได้รับการลดวันต้องโทษ หรือประเมินให้ได้รับการปล่อยตัวก่อนระยะเวลา ซึ่งแตกต่างจากผู้ถูกกักกันที่ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดกำหนดให้ได้รับสิทธิประโยชน์เช่นว่า จึงอาจส่งผลต่อการไม่ปรับปรุงความประพฤติของตัวผู้ถูกกักกันในสถานกักกัน เนื่องจากแม้จะประพฤติตนดีก็ไม่ได้รับประโยชน์แต่อย่างใด ทั้งนี้ หากมีการย้ายผู้ถูกกักกันจากสถานกักกันนครปฐมไปรวมอยู่กับผู้ถูกคุมขังภายหลังพ้นโทษ ณ สถานกักกันกลางกรุงเทพมหานคร แม้ผู้ถูกกักกันและผู้ถูกคุมขัง จะมีสถานะและวัตถุประสงค์ในการใช้มาตรการเพื่อป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ และเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของสังคมเช่นเดียวกัน แต่เมื่อผู้ถูกกักกันไม่ได้รับสิทธิในการประเมินพฤตินิสัย และพฤติการณ์เช่นเดียวกับผู้ถูกคุมขัง จึงย่อมเป็นการเลือกปฏิบัติเพราะเหตุแห่งกฎหมายที่ไม่เหมาะสมตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป และอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ประจำสถานกักกันกรุงเทพที่จะต้องบริหารจัดการกลุ่มบุคคลสองกลุ่มที่ถูกควบคุมในสถานที่แห่งเดียวกัน แต่อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของกฎหมายที่มีความแตกต่างกัน
ด้วยเหตุผลดังกล่าว กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไปยังกระทรวงยุติธรรม และกรมราชทัณฑ์ พิจารณากำหนดสถานที่สำหรับควบคุมบุคคลแยกตามสถานะตามกฎหมายโดยให้แยกระหว่างผู้ถูกกักกันตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการกักกันตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2510 และผู้ถูกควบคุมตัวภายหลังพ้นโทษตามพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. 2565 ให้มีความชัดเจนและเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย และพิจารณาจัดสรรอัตรากำลังที่เหมาะสมและเพียงพอต่อการบริหารจัดการสถานกักกัน โดยให้ย้ายอัตรากำลังที่ได้รับการจัดสรรให้ปฏิบัติราชการประจำสถานกักกัน ซึ่งไปปฏิบัติราชการ ในหน่วยงานอื่นของกรมราชทัณฑ์ ให้กลับมาปฏิบัติงานที่สถานกักกัน รวมทั้งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมคุมประพฤติ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการกำหนดหน่วยงานหรือกลไกที่มีหน้าที่ประเมินความเสี่ยงในการกระทำความผิดของจำเลย เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาของพนักงานอัยการในการยื่นฟ้องและขอให้ศาลใช้วิธีการกักกัน ซึ่งจะสามารถสนับสนุนให้การดำเนินการเพื่อกำหนดวิธีการเพื่อความปลอดภัยด้วยการกักกันมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ได้มากขึ้น ทั้งนี้ให้สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้ถูกกักกันอย่างถูกต้องและเหมาะสมตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการกักกันตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2510 และระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ถูกกักกัน พ.ศ. 2566
ในส่วนของสำนักงานศาลยุติธรรม และสำนักงานอัยการสูงสุด มีข้อเสนอแนะให้ใช้ข้อมูลตามข้อเสนอแนะฉบับนี้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประกอบการใช้ดุลยพินิจของศาลและพนักงานอัยการในการกำหนดวิธีการเพื่อความปลอดภัยด้วยการกักกัน ให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ ให้สำนักงานกิจการยุติธรรมใช้ข้อมูลตามข้อเสนอแนะฉบับนี้เสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเพื่อพิจารณาและเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีให้จัดสรรงบประมาณที่จำเป็นแก่กระทรวงยุติธรรมในการจัดหาและปรับปรุงสถานที่สำหรับเป็นสถานกักกัน รวมถึงงบประมาณสำหรับการจัดสรรอัตรากำลังเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ด้วย
สำหรับข้อเสนอแนะในการปรับปรุงกฎหมาย กสม. มีข้อเสนอให้กระทรวงยุติธรรมออกกฎระเบียบเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของผู้ถูกกักกันโดยต้องไม่น้อยกว่าสิทธิของผู้ต้องขังที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงกำหนดประโยชน์ของนักโทษเด็ดขาด และเงื่อนไขที่นักโทษเด็ดขาดซึ่งได้รับการลดวันต้องโทษจำคุกหรือการพักการลงโทษและได้รับการปล่อยตัวต้องปฏิบัติ พ.ศ. 2562 และหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เสนอแก้ไขกฎหมายพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการกักกันตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2510 ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยพิจารณาแนวทางตามพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. 2565 เช่น การกำหนดให้มีคณะกรรมการพิจารณาความเหมาะสมของมาตรการภายหลังการกักกัน การกำหนดวิธีการสำหรับศาลใช้ในการพิจารณาก่อนมีคำสั่งให้กักกัน การกำหนดให้มีหน่วยงานทำหน้าที่จัดทำรายงานผลการพัฒนาพฤตินิสัยภายหลังการกักกัน เป็นต้น




